เปิดภาพ! "พ่อปอ" กับ "น้องมะลิ" ไปเที่ยวเขาใหญ่กันก่อน "ปอ ทฤษฎี" ป่วย บอกได้เลยใครเห็นก็ยิ้มแก้มปริ!! [ In our forums! "Father Paul" with "sister Jasmine" to his first "spot" theory can tell patients who see it cheeky smiles !!]







































ภาพความสดใสของ "น้องมะลิ" ที่อยู่ต่อหน้ากล้องถ่ายรูปๆ ของสื่อมวลชน แบบไม่มีอาการกลัว ทั้งยิ้มทั้งเต้น สดใสสมวัย คว้าหัวใจพี่ป้าน้าอาไปทั้งประเทศแล้ว เรียกว่าได้เลือดนักแสดงจากพ่อมาเต็มๆ เหมือนกัน จนตอนนี้มีนิตยสารต่างๆ ติดต่อให้น้องไปถ่ายแบบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอให้ ปอ ทฤษฎี ตื่นขึ้นมา "อนุญาต" ให้ลูกสาวเข้าวงการด้วยตัวเอง
และล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พ.ย. เฟซบุ๊ก Khao Yai Paradise on earth ได้ลงภาพน่ารักๆ ของพ่อปอ และ น้องมะลิ ขณะไปเที่ยวพักผ่อนกันที่เขาใหญ่ เป็นภาพพ่อลูกน่ารักๆ น้องมะลิแต่งตัวคล้ายกับพ่อปอ เสื้อลายทาง กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ใส่หมวกสุดชิค บอกเลยว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวเท่และน่าเอ็นดูมากๆ 










ถึงแม้จะเป็นเพียงไม่กี่ภาพ แต่ก็สร้างรอยยิ้ม ให้ครอบครัว "สหวงษ์" และแฟนๆ ที่รอคอยข่าวดี ให้ ปอ ทฤษฎี ตื่นขึ้นมา ได้ไม่น้อยทีเดียว

แทบช็อก! เมื่อพี่รู้ข่าวน้องสาววัย 12 ปี เสียชีวิตลง ก่อนสิ่งที่น้องตัวน้อยทำให้พี่ รู้แล้วแทบน้ำตาไหล!






























เด็กหญิง เซิน-ชวน-หลิง อายุ12 เธอได้เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ พี่ชายทั้ง4คน ต้องใส่ชุดคลุมสีขาวในงานศพของน้องสาวก่อนที่จะได้ใส่ชุดครุยรับปริญญา
 คนในหมู่บ้านต่างเข้าร่วมงานศพแสดงความเสียใจในการจากไปของหนูน้อยยอดกตัญญูคน นี้  และในความจริงแล้วเธอและพี่ชายทั้ง4คนไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน เธอเป็นเพียงเด็กที่ครอบครัวนี้เก็บมาเลี้ยง ตัวตนพ่อแม่ที่แท้ของเธอก็ไม่มีใครรู้ : หลังจากที่เธอโตมากับครอบครัวนี้ ไม่นานพ่อเลี้ยงก็เกิดอุบัติเหตุเป็นอัมพาต ต่อมาไม่นานแม่เลี้ยงของเธอก็เสียชีวิต เธอจึงเป็นผู้เสียสละที่จากรับหน้าที่ดูแลหาเงินเพื่อให้พี่ชายได้เรียน หนังสือต่อ พ่อเลี้ยงของ ชวน-หลิ๋ง ที่เป็นเหมือนเสาหลักของคนในบ้าน พ่อเลี้ยงรักและเอ็นดูเธอมาก ชวน-หลิงเป็นที่รักของคนในครอบครัว รักเธอเหมือนคนในครอบครัวจริงๆ

แต่อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พ่อกำลังทำ งานพลาดตกลงมาจากชั้น3 จากนั้นมาก็กลายเป็นอัมพาต รายได้ของที่บ้านแน่นิ่ง พี่ชายที่คิดว่าต้องลาออกจากโรงเรียน แต่ชวน-หลิงกลับลาออกจากโรงเรียนก่อนหน้านั้น เพื่อช่วยแม่หารายได้เพื่อคนในครอบครัว พี่ชายสัญญาต่อหน้าพ่อว่า : การเสียสละของน้อง ในอนาคตข้างหน้าผมจะทดแทนให้น้องมากกว่าที่ผมได้รับ






 ไม่นานแม่รับภาระและความกดดันต่างๆไม่ไหว สุดท้ายได้เสียชีวิตลง เหลือเพียง ชวน-หลิง รับหน้าที่หารายได้ อยากให้พี่ชายได้เรียนจนจบ เพื่อค่าเทอม เธอยอมแม้กระทั่งไปที่โรงพยาบาลเพื่อขายเลือดจากตัวเธอเอง หมอที่รู้ถึงสภาพร่างกายของเธอ จึงซื้อเลือดจากเธอในปริมาณที่น้อย และหมอยังนำเงินส่วนตัวให้กับเธอเพิ่มอีกด้วย

ในปี 1997 ช่วงเทศกาลตรุษจีน เป็นช่วงเวลาที่ชวน-หลิงมีความสุขมากที่สุด นอกจากพี่ชายคนที่ 4 ที่รับหน้าที่ทหาร พี่ชายที่เหลืออีก3คนก็กลับมาที่บ้าน พี่ชายกลับมาพร้อมของขวัญปีใหม่ที่เตรียมมาให้เธอ  ไม่ว่าจะเป็น  เสื้อใหม่ ผ้าพันผืนคอสีแดง และครีมบำรุงผิวอีกหนึ่งกล่อง ชวน-หลิงมีความสุขมากอุ้มของขวัญทั้งหมดนี้วิ่งไปมาด้วยรอยยิ้ม
 พ่อได้เรียกลูกชายมาพูดคุยที่ห้อง และบอกว่า : หากวันที่พวกเธอประสบความสำเร็จแล้ว สามารถลืมพ่อได้ แต่ห้ามทอดทิ้งน้องสาวของพวกเธอเด็ดขาด

ใน ปี1998ของเดือนสิงหาคม วันหนึ่งชวน-หลิงได้ไปขายเลือดของเธอ เพื่อนำเงินส่งให้กับพี่ชาย เธอได้พยยามขอร้องหมอเพื่อรับซื้อเลือดของเธอ หมอได้รับซื้อเลือดเพียง 300C.C. จากร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งทำให้เธออ่อนแอลง ระหว่างทิ่เธอกำลังไปโอนเงินให้พี่ชาย ก็เกิดเหตุการณ์น่าสลดใจ ขณะที่ข้ามถนนถูกรถบรรทุกที่ชน และล้อของรถก็ได้ทับตัวของเธอ…หลังจากที่พี่ชายได้รับข่าวร้ายนี้ ได้รีบกลับบ้าน และร้องไห้เสียใจอย่างหนักต่อร่างที่ไร้วิญญาณของน้องสาว
 และ ตามความเชื่อ ประเพณีของคนจีนในสมัยนั้น เด็กที่อายุยังน้อยไม่สามารถจัดงานศพได้ แต่พวกเขาก็ได้จัดพิธีงานศพให้ ชวน-หลิง และนำศพของเธอไปฝังใก






ทุกคนที่ร่วมงานร้องไห้เสียใจและบอกว่า : เด็กที่เป็นเด็กดีมากขนาดนี้  ถึงแม้เธอจะจากไปแล้วก็ไม่อยากให้มีความทุกข์อีก
ที่มา: http://www.siamupdate.com/news-178895

สะเทือนใจ! พ่อเฒ่าราชการบำนาญลูกหลานทิ้ง หลังยกมรดกให้ลูกหมดแล้ว ก่อนตายทิ้งซองจดหมาย สิ่งที่อยู่ในนั้น เพื่อนบ้านถึงกับน้ำตาไหล

ลุงข้างบ้าน .... อยากให้อ่านกันมากๆ



































..... เราย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายปี เพื่อนบ้านก็ดี มีน้ำใจ ข้างบ้านรั้วติดกันมีคุณลุงคนหนึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ เกษียณมาหลายปีแล้ว ภรรยาเสีย
ตั้งแต่เรายังไม่ย้ายเข้ามา ลูก ๆ ทั้ง 3 คน ต่างก็แต่งงาน มีครอบครัว ไปอยู่ที่จังหวัดอื่น ๆ กันหมด..... ลุงแกก็อยู่บ้านคนเดียวมาเกือบ 10 ปี
เราได้รู้จักลุง ก็ได้เห็นในน้ำใจไมตรี เป็นคนใจดี อบอุ่น น่ารัก.....มีโรคประจำตัวตามประสาคนแก่ คือ เบาหวาน ความดัน และเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตามปกติ.....ด้วยความที่อยู่บ้านคนเดียว บางครั้งเจ็บป่วย ก็ลำบากหน่อย เพราะไม่มีลูกหลาน คอยช่วยเหลือ ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราก็ได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือ พาไปหาหมอ พาไปทำธุรต่าง ๆ และถ้าป่วยหนักถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล ก็จะช่วยโทรตามลูก ๆ ของแกให้..... ลูก ๆ ก็จะมาเยี่ยมบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่โอกาส เรารู้ว่า คุณลุงเหงา .....
....... บ่อยครั้งที่คุณลุงจะบ่นถึงคุณป้า ซึ่งเราไม่เคยเจอตัวจริง ได้เห็นแต่ในรูป เพราะท่านเสียไปหลายปีแล้ว ก่อนที่เราจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ช่วงเทศกาล ปีใหม่ สงกรานต์ เมื่อบ้านอื่น ๆ เขามีลูก ๆ มาเยี่ยม เราเห็นคุณลุงนั่งเหงาเพียงลำพังเราก็ซื้อของขวัญ ของกิน ของใช้ บางครั้งก็เป็นพวกผลไม้บ้าง เครื่องดื่มบ้าง ไปไหว้
.....ลุงก็ดีใจ ให้ศิลให้พร กันยกใหญ่.....แล้วก็บ่น รำพึง รำพัน ถึงลูก ๆ .....น้ำตาไหล นั่งมองแต่ประตูหน้าบ้านรอว่าเมื่อไร จะมีรถของลูก ๆ กลับมาเยี่ยมบ้าง .....หลายปีมานี้ คุณลุงก็ได้แต่รอ.....เราก็ได้แค่ปลอบว่าลูก ๆ เขาคงติดธุระ วันไหนเขาว่างก็คงมาเยี่ยม ไม่ต้องคิดมาก เสียสุขภาพไปเปล่า ๆ
.....ที่หลังบ้านคุณลุง มีต้นมะม่วงพันธุ์ดีอยู่หลายต้น มีต้นหนึ่งที่ลูกโต หวานอร่อยเป็นนิเศษ เราไปช่วยลุงเก็บเป็นประจำ และคุณลุงก็จะแบ่งมาให้ทุกครั้ง
.......ลุงจะคัดลูกสวย ๆ เก็บใส่กล่องดูแลเป็นพิเศษ..... เก็บไว้รอลูก ๆ อยากให้ลูกได้กินของดี ๆ หลายครั้งหลายหน เราเห็นคุณลุงรอลูก ๆจนมะม่วงเน่าเสียไป ไม่รู้กี่หน ต่อกี่หน
.....หลายปีมานี้ ก็ไม่เคยเห็นลูก ๆ กลับมากินมะม่วงที่พ่อบ่มไว้แม้แต่ครั้งเดียวมีที่แปลงหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณลุงบอกว่าอยากขาย ให้เราช่วยดำเนินการให้หน่อย เราก็เขียนป้ายไปติด แล้วลงประกาศให้ ..... 5 เดือนเศษ ๆ หลังจากประกาศขาย ในที่สุดก็มีผู้สนใจและก็ขายได้ในที่สุด ในราคา 1 ล้านบาท ...เมื่อได้เงินมา สิ่งแรกที่คุณลุงพูดถึงคือ
..... คิดถึงลูก ๆ ถ้ารู้ว่าพ่อขายที่ได้คงดีใจ ลุงบอกว่าจะแบ่งเงินให้ลูกทั้ง 3 คน เท่า ๆ กัน
.....วันรุ่งขึ้น ลุงก็มาหาเราแต่เช้า บอกว่าวันนี้ ขอแรงหน่อย ช่วยพาลุงไปธนาคารที จะไปโอนเงินให้ลูก เราก็พาไป วันนั้นเป็นลูกค้ารายแรกของธนาคาร
.....คุณลุงโอนเงิน ให้ลูกคนละ 3 แสนบาท .....
..... เมื่อกลับมา จอดรถส่งลุงหน้าบ้าน..... ก่อนลงจากรถ คุณลุงหยิบเงิน ในกระเป๋า 1 แสนบาทยื่นส่งให้ บอกว่า.....เอานี่ ลุงให้.......เรารีบ ปฏิเสธ บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องให้ผมลุงเก็บไว้ใช้เถอะ ให้ลูก ๆ ไปเกือบหมดแล้ว
..... ลุงบอกว่า เอาไปเถอะ ลุงได้รับบำนาญทุกเดือน ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ที่แปลงนี้ที่ขายได้ ก็เพราะเราต้องรับโทรศัพท์และพาคนไปดูที่ หลายเดือนมานี้ไม่รู้ขับรถไป-กลับกี่รอบแล้ว และอีกอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลุงก็ได้แต่รบกวน ไม่เคยได้ให้อะไร ตอบแทนบ้างเลยพ่อหนุ่มไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลาน แต่ก็ยังอุตส่าห์เสียเวลาเป็นธุระจัดการเรื่องราวให้สารพัด รับไว้เถอะ ลุงอยากให้จริง ๆ ถ้าไม่รับลุงจะเสียใจนะ
......เราก็ไหว้ ขอบคุณครับลุง กลับมานอนคิด ไตร่ตรอง รู้สึกไม่สบายใจ ดึก ๆ จึงหยิบเงินไปหาลุงอีกรอบ.....แต่ลุงไม่รับคืนและยืนยันว่าตั้งใจจะให้เราจริง ๆ .....อีก 2 วันถัดมา มีรถยนต์มาจอดที่บ้านลุง ลูกสองคน คนเล็กและคนกลางมาเยี่ยมและทวงถามเราถึงเงิน 1 แสนบาท พูดจาประมาณว่า.....เราไปหลอกเอาเงินคนแก่ เรารีบเข้าไปในบ้านหยิบเงิน 1 แสน เดินไปที่บ้านลุง แล้วคืนเงินให้ลุง ลุงปฏิเสธและพยายามอธิบายให้ลูก ๆ ฟัง แต่ทั้งสองคนไม่ยอม เราจึงวางเงินไว้ แล้วเดินออกมา
ก่อนตะวันตกดิน ได้ยินเสียงรถขับออกไป ..... สักพักลุงก็มาหา เล่าว่าสองคนนั้นแบ่งเงินกันคนละ 5 หมื่นแล้วก็ลากลับไปแล้ว คุณลุงกล่าวคำขอโทษอย่างที่สุด..... ลุงน้ำตาไหล บอกว่าเสียใจ ไม่คิดว่าลูก ๆ จะเป็นไปถึงขนาดนี้ .....ลุงบอกว่าจะเอาเงินบำนาญที่ได้รับทุกเดือนมาทยอยคืนให้ จนกว่าจะครบ 1 แสนบาท.....เราบอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องทำอย่างนั้น....
..... อีก 3 วัน เกือบ ๆ เที่ยงคืน ลุงมาที่บ้าน พร้อมกับลูกชายคนโต
" เมื่อ 3 วันที่แล้ว พ่อโทรฯ ไปเล่าเรื่องให้ฟัง พี่ก็ไม่สบายใจ.... พอดีที่ทำงานส่งไปสัมมนาหลายวันออกมาไม่ได้ พอเสร็จธุระ ก็รีบขับรถมาเลย มา
ถึงซะดึก....พี่ต้องขอโทษแทนน้อง ๆ สองคนด้วย เสียมารยาทจริง ๆ เดี๋ยวต้องคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักครั้ง อายุก็มากแล้วแต่ก็ไม่รู้จักโต แย่จริง ๆ
..... เอาอย่างนี้ ขอเลขบัญชีธนาคารให้พี่ได้ไหม เดี๋ยวกลับไปพี่จะรีบโอนเงินมาคืนให้ "
"ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เป็นไร..... เราปฏิเสธไป"
วันถัดมาเมื่อลูกชายคนโตกลับไป ลุงเล่าให้ฟังด้วยความดีใจ
" เจ้าใหญ่มันบอกว่า วางแผนไว้แล้วอีก 5 ปี จะย้ายมาทำงานที่บ้าน จะพาลูกมาเมียมาอยู่ที่นี่ "
เราสังเกตุเห็นแววตาอันสดใส ของคุณลุง...บ่งบอกถึงความ ปิติ ยินดี อย่างที่สุด
ดีใจด้วยครับลุง ต่อไปลุงจะได้ไม่เหงาแล้ว...
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบ 4 ปีแล้วซินะ..... ที่ลุงนับวันรอว่าจะมีลูก ๆ กลับมาอยู่ด้วย เราเห็นปฏิทิน ที่คุณลุงขีดฆ่า วันแล้ววันเล่า..... เดือน
แล้วเดือนเล่า..... ปีแล้วปีเล่า.....และสุดท้าย.....
ลุงน่าจะอดทนรออีกนิด .. อีกนิดเดียวเองครับลุง
ในห้องไอซียู เรากับพี่ใหญ่นั่งอยู่คนละข้างเตียงคนไข้.....ช่วงเวลา สุดท้ายของชีวิต
คุณลุงขยับนิ้วมือ เรากับพี่ใหญ่เอื้อมมือไปจับมือลุง.....ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ
คุณลุงจากไปด้วยอาการสงบ ....
หลังงานศพ เสร็จสิ้น.....
ค่ำคืนนั้น พี่ใหญ่มาหาเราที่บ้าน ยื่นถุงกระดาษส่งให้ บอกว่า.....
"พ่อฝากไว้ให้ พ่อกำชับไว้ตั้งแต่ก่อนตาย ว่าต้องให้เรารับไว้ ไม่งั้นพ่อจะนอนตายตาไม่หลับ"
เราแกะถุงเปิดดูข้างใน มีซองจดหมายทั้งหมด 10 ซอง
จ่าหน้าว่า...
คืนเงินเดือนที่ 1-2-3... ไปจนถึง คืนเงินเดือนที่ 10
ในแต่ละซอง ข้างในมีธนบัตรใบละ 1,000 บาท สิบใบ....ซองสุดท้าย มีข้อความว่า
ถึง...
หลานที่ไม่ใช่สายเลือด แต่ก็เป็นหลานที่ดีกับลุงเหลือเกิน ..... ลุงคืนเงินให้ตามที่เคยสัญญาขอบคุณที่ช่วยเหลือ เป็นธุระให้ ในทุก ๆ เรื่อง และ
เป็นเพื่อนคนแก่มาตลอด
.... ป้ามารอลุงแล้ว..... ลุงต้องไปก่อน.
อีก 2 วันถัดมาที่บ้านคุณลุง มีคนเข้ามาทำความสะอาด.....เราสังเกตุเห็นปฏิทินที่คุณลุงใช้ขีดฆ่าเพื่อนับวันรอลูก ๆ ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้าน
เดินไปที่ถังขยะหน้าบ้านลุง มองไปที่ประตู มีป้ายประกาศติดไว้
ขายบ้าน ด่วน !
เราไปเก็บปฏิทินมาทำความสะอาด .......นึกถึงภาพคนแก่ ที่หยิบดินสอขีดฆ่าตัวเลขบนปฏิทิน ด้วยอาการมือสั่นเทา ลูก ๆ คงไม่รู้หรอกว่า ภายใต้ปฏิทินเก่า ๆ ไร้ค่าใบนี้
..... มันซ่อนความห่วงหาอาลัยซ่อนความเงียบเหงา ว้าเหว่ ..ซ่อนความเจ็บปวดร้าวลึก ของคนแก่คนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดียวเพียง
ลำพังมานานกว่า 10 ปี







เราตั้งใจจะเก็บปฏิทินนี้ไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก...ตลอดไป...
ขอให้บุญกุศล และคุณงามความดี ทั้งหลายทั้งปวง ที่คุณลุงได้สั่งสมมาตลอดชั่วชีวิต
จงนำพาดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณลุง ไปสู่สุคติในดินแดน อันสงบ ร่มเย็น ชั่วนิจนิรันดร์.....
------------------
ขอบคุณบทความดีๆจาก http://bit.ly/bookbotkham 
Ref | fb.com

ไชโย! ข่าวดี!! เมื่อ "อาน้ำอ้อย"เผย "โบว์"เข้าไปหา "ปอ ทฤษฎี" แล้วเป็นแบบนี้ ขอบคุณพลังโซเชี่ยล





































หลังจากที่หลายคนเอาใจช่วยหนุ่ม “ปอ ทฤษฎี” ให้หายเป็นปกติโดยเร็ว วันนี้อาน้ำอ้อย ผู้จัดการและคุณอาของปอ ได้เผยข่าวดีก่อนเข้าไปพบปอในห้อง โดยบอกแบบนี้

หลังจากเมื่อช่วงเที่ยงของวานนี้ (24 พ.ย.) ทีมแพทย์ได้นำ ปอ ทฤษฎี เข้าห้องผ่าตัดเนื่องจากมีเลือดออกบริเวณลำไส้ และกลับมาเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้อง CCU เช่นเดิม
ล่าสุด วันนี้ (25 พ.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. อาน้ำอ้อย ได้เปิดเผยอาการของ ปอ ทฤษฎี  ว่าประมาณบ่าย 2 ถึงบ่ายสองครึ่งทางคุณหมอตั้งโต๊ะเพื่อแถลงอาการอีกตึกหนึ่ง อาการวันนี้มีแนวโน้มดีขึ้น ปอหายใจเองได้บ้าง สลับกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ หน้าตาสะอาด เกลี้ยงเกลา โกนหนวดเรียบร้อยแล้ว (ยิ้ม)
ทั้งนี้ อยากให้ทุกคนได้ฟังคุณหมอออกมาแถลงอีกทีอย่างเป็นทางการ








น่าทึ่ง!! หนุ่มสถาปนิก ลาออกจากงาน กลับมาปรับปรุงร้านขายผักให้แม่ ด้วยงบเพียง 200 บาท จนกลายเป็นร้านขายผักที่ผู้คนต้องจดจำ









































ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะค่ะ ว่าชีวิตแบบหรูหรา มีหน้ามีตาในสังคม ใช้กับทุกคนไม่ได้จริงๆ ในสังคมปัจจุบัน หลายคนคงต้องการความก้าวหน้าในชีวิต ยอมทำทุกวิถีทางให้ได้ซึ่งชื่อเสียงเงินทอง เกียรติยศ แต่กลับไม่ใช่สำหรับหนุ่มรายนี้ มีดีกรีเป็นถึงสถาปนิก ยอมลาออกจากงาน เพื่อกลับมาใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายที่บ้านเกิด ด้วยอาชีพขายผัก ซึ่งวันนี้เราได้หยิบยกเรื่องราวมาให้ทุกคนได้ดูกัน เพราะเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำริ และเขาก็ทำมันได้จริง อีกทั้งมีความสุขกับมันด้วย
และนี่คือแผงขายผักของแม่เขา ซึ่งตั้งอยู่ในตลาด ด้วยความเป็นสถาปนิก เขาจึงทำการดัดแปลงสร้างใหม่ให้เกิดความดึงดูด ชวนน่าซื้อมากขึ้น กลายเป็นรแผงขายผัก แบบน่ารัก ๆ ชิค ๆ ดูทันสมัยขึ้นมา เชื่อหรือไม่ว่า เขาใช้งบทั้งหมดเพียง 200 บาท เท่านั้น ทำได้อย่างไรกัน เราไปดูวัสดุกันเลยจ้า
รายการวัสดุก็มีดังนี้
1. ไม้กระดานอัด = ได้จากป้ายหาเสียงเหลือใช้
2. สีดำเเบบเช็ดได้ = เหลือจากทาผนังในบ้าน
3. ชอล์ก = 20 บาท
4. โคมไฟ = ถาดกรองน้ำกะทิในตลาด 20 บาท
5. หลอด+สายไฟ = 40 บาท
6. ตับจากกั้นผนัง ตับละ 4 บาท x25 ชิ้น = 100 บาท
7. เศษไม้เเละอื่นๆ = หาได้จากในสวน
และนี่คือภาพแผงผักเดิมที่ยังไม่ได้รับการตกแต่ง
เริ่มต้นจากการวาดแปลนร้าน
จากนั้นก็ทำการตกแต่งร้าน จนกลายมาเป็นแบบนี้
ซึ่งผักที่นำมาขายเป็นผักที่ปลูกเองจากไร่ รับประกันในความปลอดภัย เพราะเป็นผักที่ไม่ใช้สารเคมี นอกจากนี้ยังมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์สุดกิ๊กเก๋ซะด้วย












สุดท้าย เขาได้กล่าวความรู้สึก ภายหลังที่ตัดสินใจออกจากงานว่า "2 ปีที่ได้กลับมาอยู่ที่นี่ ได้กลับมาพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น บนวีถีเกษตรอินทรีย์ นอกจากมันจะทำให้ผมกับครอบครัวมีความสุขเเละสุขภาพที่ดีเเล้ว มันยังพิสูจน์ให้เราเห็นอีกด้วยว่า สิ่งทึ่พระองค์ทรงคิด คือสิ่งที่ดี เหมาะสมกับเกษตรกร เเละคนต่างจังหวัดอย่างเราครับ"







ประเภท : ทันเหตุการณ์
ที่มา : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun
ที่มา: http://www.kanomjeeb.com/news-details.php?item=2772